LOGO-TMW-MARKETING-BLACKLOGO-TMW-MARKETING-BLACKLOGO-TMW-MARKETING-BLACKLOGO-TMW-MARKETING-BLACK
  • หน้าแรก
  • Internet Marketing
    • Google Ads
    • SEO ฉบับสมบูรณ์
    • รับทำเว็ปไซต์ WordPress
    • รับทำเว็ปไซต์
  • ธุรกิจ และ การตลาด
  • การเงิน การลงทุน
  • แรงบันดาลใจ และ การพัฒนาตนเอง
  • รีวิว และ Life Style
  • เกี่ยวกับเรา
AB Testing
การทำ AB Testing: การทดสอบที่ปรับปรุงประสิทธิภาพของธุรกิจของคุณ
July 29, 2023
นวัตกรรม
การสร้างนวัตกรรมในองค์กร: การสร้างวัฒนธรรม, กรอบการทำงาน, และการทดลอง
July 29, 2023
Published by admin on July 29, 2023
Categories
  • ธุรกิจ และ การตลาด
Tags
  • Bottom-Up Management
  • การบริหารธุรกิจ
  • ธุรกิจ
  • บริหารองค์กร
Bottom Up

การบริหารแบบ Bottom-Up: เส้นทางสู่การนวัตกรรมในธุรกิจ

Bottom Up

การบริหารแบบ Bottom Up

ในธุรกิจ, “Bottom-Up” เป็นกระบวนการหรือวิธีที่จะตัดสินใจหรือวางแผนอย่างไร ๆ ที่เริ่มต้นที่ฐานสุด ๆ หรือ “bottom” และทำงานขึ้นไปยัง “top” หรือผู้บริหารระดับสูงสุด มันอาจใช้กับการวางแผน, การตัดสินใจ, และการจัดทำงานในองค์กร

  1. การวางแผน Bottom-Up: ที่นี่, พนักงานระดับล่าง ๆ มีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดและยุทธศาสตร์ที่จะช่วยในการตัดสินใจของบริษัท เหล่านี้จะถูกเก็บรวบรวมและทบทวนใหม่โดยผู้บริหารระดับสูง การวางแผนแบบนี้มักจะใช้เวลามากขึ้น แต่มันทำให้แน่ใจว่ามีการให้ข้อมูลจากทุกชั้นขององค์กร และมักจะเพิ่มความพึงพอใจของพนักงานเนื่องจากมีการมีส่วนร่วม
  2. การตัดสินใจ Bottom-Up: ในกระบวนการตัดสินใจแบบนี้ พนักงานระดับล่างสุด ๆ มีระดับความสำคัญที่เท่ากับผู้บริหารระดับสูง พวกเขาเสนอแนวคิดและข้อเสนอที่จะทำให้การปรับปรุงกระบวนการการทำงานและผลลัพธ์การทำงาน
  3. การจัดทำงาน Bottom-Up: ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้การเรียนรู้ทางเทคนิคหรือประสบการณ์ทางด้านเฉพาะ มักจะเป็นจุดที่การจัดทำงานแบบ Bottom-Up มีความสำคัญ ผู้ที่ทำงานด้านล่างสุด ๆ มีความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งในปัญหาที่พวกเขากำลังจัดการ ซึ่งมักจะทำให้มีสิ่งประดิษฐ์และการปรับปรุงที่ดีขึ้น

แบบ Bottom-Up ไม่ได้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ แต่ในสถานการณ์ที่ความรู้และประสบการณ์ทางเทคนิคมีความสำคัญ หรือเมื่อมีความสำคัญที่จะเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน แนวทางนี้อาจจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการบริหารแบบ Bottom Up

การบริหารจัดการแบบ “Bottom-Up” มีตัวอย่างที่ดีจากบริษัทที่หลากหลาย ต่อไปนี้เป็นเพียงบางส่วน:

  1. Google: บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ Google มีนโยบายที่เรียกว่า “20% time” ที่สามารถพิจารณาเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการแบบ Bottom-Up. นโยบายนี้อนุญาตให้พนักงานใช้เวลา 20% ของการทำงานของพวกเขาเพื่อทำโปรเจ็คส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานของ Google ทั้งหมด ผลลัพธ์ที่เกิดจากนโยบายนี้ คือ การสร้าง Gmail และ Google News ซึ่งเป็นสินค้าหลักของ Google วันนี้
  2. 3M: บริษัทผลิตสินค้าอุตสาหกรรม 3M มีนโยบายที่คล้ายกับ Google ที่เรียกว่า “15% time”. นโยบายนี้สร้างโอกาสให้พนักงานสามารถใช้เวลา 15% ของการทำงานของพวกเขาในการทำงานเกี่ยวกับโปรเจ็คส่วนบุคคลที่อาจสร้างสรรค์สินค้าใหม่ ๆ ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการพัฒนาด้วยนโยบายนี้ คือ Post-it Notes
  3. WL Gore & Associates: บริษัทผู้ผลิต Gore-Tex, WL Gore & Associates, มีโครงสร้างที่ไม่เป็นทางการและแนวคิดที่มุ่งเน้นไปที่ Bottom-Up. พนักงานของพวกเขา (หรือ “Associates”) ได้รับสิทธิในการเลือกโปรเจ็คที่ต้องการทำงานและทีมที่ต้องการเข้าร่วม การปรับปรุงและแนวคิดใหม่ๆ มักจะเกิดขึ้นเมื่อ “Associates” ทำงานร่วมกัน

การบริหารจัดการแบบ Bottom-Up นั้นสามารถส่งเสริมให้เกิดสรรค์สร้างสิ่งใหม่และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการทำงาน ขณะเดียวกันมันยังช่วยส่งเสริมความพึงพอใจในงานและการมีส่วนร่วมของพนักงาน

ข้อควรระวัง สำหรับการบริหารแบบ Bottom Up

การบริหารจัดการแบบ Bottom-Up สามารถเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรวบรวมความคิดเห็นและแนวคิดจากทุกชั้นขององค์กร แต่ก็มีความเสี่ยงและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาดังนี้:

  1. การล่าช้าในการตัดสินใจ: หากทุกคนในองค์กรมีสิทธิ์ในการเสนอความคิดเห็นและต้องได้รับการพิจารณา การตัดสินใจสามารถล่าช้าลง เนื่องจากจำเป็นต้องประสานงานและขจัดข้อมูลจากหลายแหล่ง
  2. ขาดแนวทางชัดเจน: บางครั้งการบริหารจัดการแบบ Bottom-Up อาจทำให้ขาดทิศทางหรือจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ผู้บริหารระดับสูงจำเป็นต้องใช้ความชัดเจนในการสื่อสารวิสัยทัศน์และจุดประสงค์ขององค์กร
  3. ความขัดแย้ง: การบริหารจัดการแบบ Bottom-Up อาจนำไปสู่การขัดแย้งหากความคิดเห็นและแนวคิดของพนักงานระดับล่างขัดกับผู้บริหารระดับสูง ความขัดแย้งนี้ต้องถูกจัดการอย่างมืออาชีพเพื่อป้องกันการเป็นปัญหาใหญ่ๆ ในองค์กร
  4. ไม่สอดคล้องกับทุกสถานการณ์: ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและการจัดการ การบริหารจัดการแบบ Bottom-Up อาจไม่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หรือเมื่อต้องการความควบคุมและความทั่วถึงของผู้บริหารระดับสูง
  5. ความต้องการสำหรับการจัดการและการสนับสนุนที่ดี: การบริหารจัดการแบบ Bottom-Up จำเป็นต้องการการจัดการที่ดีและการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง หากไม่มีการสนับสนุนนี้ อาจเกิดความผิดพลาดในการประสานงานและขาดความเข้าใจร่วมกัน

การบริหารแบบ Bottom Up

รูปแบบ ธุรกิจที่เหมาะต่อ การบริหารแบบ Bottom Up

  1. บริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ: บริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่เน้นการประสบการณ์ผู้ใช้ หรือมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ มักจะได้รับประโยชน์จากการบริหารจัดการแบบ Bottom-Up เนื่องจากวิธีนี้ช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับสามารถเสนอไอเดียใหม่ๆ
  2. บริษัทที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน: บริษัทที่มีโครงสร้างองค์กรที่เป็นทางการน้อย และมีวัฒนธรรมที่ยอมรับในความคิดที่หลากหลาย มักจะพบว่าการบริหารแบบ Bottom-Up นั้นมีประสิทธิภาพ
  3. องค์กรไม่หวังผลกำไร (NGOs): หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรประชาสังคมที่ต้องการสะท้อนความต้องการและความสนใจของกลุ่มคนที่พวกเขาบริการ การบริหารแบบ Bottom-Up สามารถช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถตอบสนองและปรับปรุงการบริการของพวกเขาให้ดีขึ้น
  4. บริษัทบริการ: บริษัทในภาคบริการ เช่น การขนส่ง, การปรึกษา, การให้บริการด้านการเงิน ที่ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย การบริหารแบบ Bottom-Up สามารถช่วยให้พนักงานที่มีการสัมผัสกับลูกค้าโดยตรงสามารถส่งผ่านความคิดเห็นและคำติชมจากลูกค้าไปยังผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจ
  5. บริษัทแบบเป็นทีม: องค์กรที่ใช้โครงสร้างทีมหรือที่โครงสร้างสายบัญชาการแนวตั้งสูง น้อย โดยที่พนักงานมีสิทธิ์ในการเปิดเสนอไอเดียใหม่ ๆ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น Spotify ที่ใช้โครงสร้าง “Guilds” และ “Tribes” สามารถทำให้การบริหารแบบ Bottom-Up ทำงานได้ดี

แต่การบริหารแบบ Bottom-Up จำเป็นต้องมีการจัดการที่ดี และบริษัทต้องสนับสนุนวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและยอมรับความคิดเห็นหลากหลาย และยังต้องมีระบบและกระบวนการที่ชัดเจนในการรับ จัดการ และปฏิบัติตามความคิดเห็นและแนวคิดนั้น ๆ

Share
0

Related posts

escrow
August 24, 2023

ทำความรู้จักกับ ระบบ Escrow


Read more
knowledge base
August 14, 2023

Knowledge Base: รากฐานของการเข้าถึงข้อมูล


Read more
August 1, 2023

Google Lighthouse: เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ที่จำเป็นสำหรับนักพัฒนา – วิธีใช้งานและประโยชน์


Read more

Categories

  • การเงิน การลงทุน
  • ธุรกิจ และ การตลาด
  • รีวิว และ Life Style
  • อื่นๆ
  • แรงบันดาลใจ และ การพัฒนาตนเอง
© TMW Marketing Team. All Rights Reserved.